รู้จักงูพิษ 7 ชนิด  ในประเทศไทย คนถูกกัดบ่อยที่สุด

รู้จักงูพิษ 7 ชนิด ในประเทศไทย คนถูกกัดบ่อยที่สุด

รู้จักงูพิษ 7 ชนิด งูพิษในประเทศไทย ที่พบบ่อย-คนถูกกัดบ่อยที่สุด พิษร้ายแรงอาจถึงตายได้ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องระวังช่วงหน้าฝน

รู้จักงูพิษ 7 ชนิด


รู้จักงูพิษ 7 ชนิด  งูพิษรุนแรงในประเทศไทย 
แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ งูที่มีพิษต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ และ งูที่มีพิษผลต่อระบบโลหิต

  • งูที่มีพิษต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ 

พิษของงูจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเป็นอัมพาต จะเริ่มจากกล้ามเนื้อมัดเล็ก ไปจนถึง กล้ามเนื้อมัดใหญ่และสุดท้ายจะเป็นทั้งตัว อาการแรกเริ่ม คือ หนังตาตก ผู้ป่วยลืมตาไม่ขึ้น ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดๆ ว่าผู้ป่วยง่วงนอน ต่อมาจะเริ่มกลืนน้ำลายลำบาก พูดอ้อแอ้ และหยุดหายใจ เสียชีวิต รู้จักงูพิษ 7 ชนิด

งูเห่า

งูเห่าในประเทศไทยเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงและเป็นหนึ่งในงูที่พบได้บ่อยในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในเขตร้อนชื้น เช่น ป่า พื้นที่การเกษตร และบางครั้งในเขตชุมชน

งูเห่าจัดเป็นงูที่อันตราย มีนิสัยดุร้าย เมื่อตกใจหรือต้องการขู่ศัตรู มักทำเสียงขู่ฟู่ ๆ โดยพ่นลมออกจากทางรูจมูก และแผ่แผ่นหนังที่อยู่หลังบริเวณคอออกเป็นแผ่นด้านข้างเรียกว่า “แม่เบี้ย” หรือ “พังพาน” ซึ่งบริเวณแม่เบี้ยนี้จะมีลวดลายเป็นดอกดวงสีขาวหรือสีเหลืองนวลเป็นรูปลักษณ์ต่าง ๆ เช่น คล้ายตัวอักษรวีหรืออักษรยูหรือวงกลม หรือไม่มีเลยก็ได้ เรียกว่า “ดอกจัน”

มีพิษมีฤทธิ์ทำลายระบบประสาทที่รุนแรง และเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่ถูกกัดเสียชีวิต พิษของงูเห่านับว่ามีความร้ายแรงมาก งูเห่ามีสีหลากหลาย เช่น ดำ, น้ำตาล, เขียวอมเทา เหลืองหม่น รวมทั้งสีขาวปลอดทั้งลำตัว ที่เรียกว่า งูเห่านวล หรือ งูเห่าสุพรรณ ซึ่งเป็นความหลากหลายทางสีสันของงูเห่าหม้อ (N. kaouthia) ที่เป็นงูเห่าชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศไทย โดยที่มิใช่สัตว์เผือกด้วย

งูเห่าเป็นงูที่มีพิษร้ายแรง มีร่องและรูทางออกของน้ำพิษทางด้านหลังของเขี้ยวพิษ เขี้ยวพิษขนาดไม่ใหญ่นักซึ่งผนึกติดแน่นกับขากรรไกรขยับไม่ได้ นอกจากเขี้ยวพิษแล้วอาจมีเขี้ยวสำรองอยู่ติด ๆ กันอีก 1-2 อัน ที่ขากรรไกรล่างไม่มีฟัน นอกจากนี้แล้วในบางชนิดยังสามารถพ่นพิษออกมาจากต่อมน้ำพิษได้อีกด้วย เรียกว่า “งูเห่าพ่นพิษ” ซึ่งหากพ่นใส่ตา จะทำให้ตาบอดได้

งูจงอาง

งูจงอาง (King Cobra) เป็นงูพิษที่ใหญ่ที่สุดในโลก พบได้ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอนุทวีปอินเดีย ภาคใต้ของไทยเรียก บองหลา มีความยาวเฉลี่ย 3-4 เมตร แต่สามารถยาวได้ถึง 5-6 เมตร งูจงอางมีพิษที่สามารถทำให้เกิดอัมพาตและเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยพิษของงูจะทำลายระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต หายใจไม่ออก และหยุดหายใจในที่สุด

งูจงอางมีนิสัยระมัดระวัง ไม่ก้าวร้าวต่อมนุษย์ แต่ถูกรบกวนหรือคุกคามจะตั้งตัวสู้และอ้าปากขู่ และเมื่อถูกคุกคามจะยกตัวสูงขึ้นตั้งครึ่งหนึ่งของความยาวตัวเพื่อขู่ศัตรู โดยเฉพาะช่วงฤดูผสมพันธุ์ตัวเมียจะก้าวร้าวมากขึ้นเพื่อปกป้องไข่ของมัน งูจงอางมีพฤติกรรมการฉกกัดแบบติดแน่น ไม่กัดฉกเหมือนงูเห่า จึงกัดแล้วจะย้ำเขี้ยว

แม้ว่าจะเป็นงูที่ลำตัวยาวแต่ก็มีน้ำหนักที่เบากว่างูที่มีความยาวพอกันอย่างงูเหลือมหรืองูหลาม ทำให้งูจงอางนั้นจะมีคล่องแคล่วว่องไวทั้งบนบกและในน้ำ มีลูกตาดำและกลม หัวใหญ่กลมทู่ สามารถแผ่แม่เบี้ยได้เช่นเดียวกับงูเห่า ลำตัวเรียวยาว ว่ายน้ำเก่ง มีหลายสี ที่พบมากที่สุดคือ สีดำและเขียวอมเทา และสีนํ้าตาล ท้องมีสีเหลืองจนเกือบขาว มีสีแดงเกือบส้มที่บริเวณใต้คอ พิษของงูทำให้เหยื่อมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 75% เนื่องจากปริมาณพิษที่ฉีดออกจากเขี้ยวพิษมีมาก

งูสามเหลี่ยม

งูสามเหลี่ยม หรือที่เรียกว่า งูทับทางเหลือง (อังกฤษ: Banded krait; ชื่อวิทยาศาสตร์: Bungarus fasciatus ) ลักษณะเด่นของงูชนิดนี้คือ หัวกลม ลำตัวเรียวยาวประมาณ 1 ถึง 2 เมตร และปลายหางทู่ บางครั้งหัวอาจแบนเล็กน้อย ลำตัวมีลักษณะเป็นสันสามเหลี่ยมที่เห็นได้ชัด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “งูสามเหลี่ยม” งูชนิดนี้เลื้อยช้า แต่มีความปราดเปรียวและว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว สีลำตัวเป็นปล้องสีดำสลับเหลืองตลอดทั้งตัว และเมื่อกัดจะไม่แผ่แม่เบี้ย

ในประเทศไทย งูสามเหลี่ยมสามารถพบได้ทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคใต้ เช่น บริเวณป่าพรุโต๊ะแดง งูชนิดนี้กินอาหารจำพวกหนู, กบ, ปลา รวมถึงงูชนิดอื่นๆ เป็นอาหาร มักออกหากินในเวลากลางคืน และมักขดตัวนอนตามโคนกอไม้ไผ่ ป่าละเมาะ หรือพงหญ้าริมน้ำ งูสามเหลี่ยมเป็นงูที่ไม่ดุร้ายและไม่ฉกกัด นอกจากจะถูกรบกวนหรือมีการเหยียบโดน ขณะที่มันกำลังไล่จับเหยื่อ

งูชนิดนี้มีพิษที่ทำลายระบบประสาท เมื่อถูกกัด อาจมีอาการชัก ปวดท้อง มีเลือดออกเป็นจุดใต้ผิวหนัง มีเลือดออกตามไรฟัน และอาจไอเป็นเลือด

งูทับสมิงคลา

งูทับสมิงคลา หรือ งูทับทางขาว (Malayan Krait หรือ Bungarus candidus) มีขนาดเล็กที่สุดในสกุลงูสามเหลี่ยม ลำตัวไม่เป็นสามเหลี่ยมชัดเจน ตามตัวเป็นปล้องดำสลับขาว เป็นงูพิษอันตรายที่พบได้ในประเทศไทย พิษออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทเป็นหลัก ลักษณะมีลายสีขาวสลับกับสีดำ ในบางตัวเกล็ดสีขาวมีสีดำแซม

งูทับสมิงคลาเต็มวัย ความยาวเฉลี่ย 1 – 1.5 เมตร บางตัวมีสีขาวอมเหลืองอ่อนๆ สลับกับสีดำ ท้องมีสีขาว ลายสีดำจะไม่คาดถึงท้องแบบงูสามเหลี่ยม เกล็ดกลางสันหลังเป็นเกล็ดขนาดใหญ่ลักษณะเป็นรูปหกเหลี่ยม

  • งูที่มีพิษผลต่อระบบโลหิต

งูที่มีพิษต่อระบบเลือด พิษของงูจะไปทำให้เลือดในร่างกายไม่แข็งตัว เลือดออกไม่หยุด เช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร เลือดออกในสมอง ปัสสาวะมีเลือดปน เลือดออกตามไรฟัน  สังเกตได้ว่างูพิษระบบเลือดจะมีส่วนแก้มที่ป่องออกเนื่องจากมีต่อมพิษอยู่ ทำให้ส่วนหัวดูใหญ่เมื่อเทียบกับลำคอ มีลักษณะคล้ายหัวลูกศร

งูกะปะ

งูกะปะ (Malayan pit viper) เป็นงูพิษที่มีอันตรายต่อระบบเลือด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Calloselasma rhodostoma ซึ่งเป็นงูเพียงชนิดเดียวในสกุล Calloselasma โดยไม่มีชนิดย่อย จัดอยู่ในวงศ์งูแมวเซา (Viperidae)

งูกะปะมีหัวเป็นรูปสามเหลี่ยม คอเล็ก ลำตัวอ้วน และหางสั้น มีลายด้านข้างลำตัวคล้ายหลังคาบ้าน สีลำตัวเป็นสีเทาอมชมพูมีลายสีน้ำตาลเข้ม เกล็ดมีขนาดใหญ่ และมีจมูกงอนขึ้นข้างบน งูชนิดนี้ออกหากินในช่วงพลบค่ำและกลางคืน โดยเฉพาะช่วงที่มีความชื้นสูง เช่น หลังฝนตก มักอาศัยในพื้นที่ดินทรายที่มีใบไม้หรือเศษซากไม้เพื่อการซ่อนตัว สีสันและลวดลายของมันทำให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้ดี แม้จะไม่ปราดเปรียว แต่เมื่อฉกกัดจะทำได้อย่างรวดเร็ว ในตัวที่มีสีคล้ำ เรียกว่า “งูปะบุก”

งูกะปะกระจายพันธุ์อยู่ในภูมิภาคอินโดจีนไปจนถึงแหลมมลายู ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค แต่พบมากที่สุดในภาคใต้ งูชนิดนี้ปรับตัวให้สามารถอยู่ในพื้นที่ทำการเกษตร เช่น สวนยางพาราหรือสวนปาล์มน้ำมัน จึงมีรายงานผู้ถูกงูกะปะกัดอยู่บ่อยครั้ง นับเป็นงูที่มีอันตรายต่อมนุษย์มากที่สุดในประเทศไทย พิษของงูกะปะส่งผลต่อระบบเลือด ทำให้เลือดออกผิดปกติ ภายใน 10 นาทีหลังถูกกัด บริเวณรอบแผลจะบวมขึ้นอย่างรวดเร็วจนแขนหรือขาทั้งข้างบวมภายใน 1 ชั่วโมง เลือดจะไหลจากรอยเขี้ยวอย่างต่อเนื่อง และบริเวณที่บวมจะมีสีเขียวคล้ำ ผิวหนังจะพองขึ้นและมีเลือดปนออกมา ในไม่กี่วันหลังจากถูกกัด บริเวณแผลจะเน่าและมีกลิ่นเหม็น ผู้ถูกกัดอาจเสียชีวิตจากความดันโลหิตต่ำที่เกิดจากการเสียเลือด จัดเป็น 1 ใน 7 งูพิษที่มีความสำคัญทางการแพทย์และพิษวิทยา

balancecounseling