พฤติกรรมการกินที่ไม่สมดุลคือหนึ่งในปัจจัยหลักของ แต่หลายคนกลับมองข้ามความร้ายแรงของโรคนี้ เช่นกรณีของ คุณจาง อายุ 41 ปี ชาวกวางตุ้ง ประเทศจีน ที่เสียชีวิตกะทันหันจากภาวะแทรกซ้อนของ ทั้งที่ตรวจพบตั้งแต่อายุยี่สิบกว่า ๆ
ครอบครัวเผยว่าเขามักกินอาหารไม่ถูกหลัก พอปวดข้อก็เพียงกินยาแก้ปวดแล้วหยุด ไม่ยอมรักษาต่อเนื่อง เมื่อถึงโรงพยาบาลร่างกายทรุดหนัก ข้อบวมผิดรูป มีก้อนโทฟัสจำนวนมาก ไตวายจนไม่ปัสสาวะได้หลายวัน แม้แพทย์พยายามฟอกไตแต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้
แพทย์ย้ำว่าเกาต์ไม่ทำให้เสียชีวิตทันที แต่หากละเลยอาจทำให้เกิดโรครุนแรงต่อ ไต หัวใจ และสมอง ได้
6 อาหารตัวการ ทำให้โรคเกาต์กำเริบ
1. เครื่องในสัตว์ : ตับ ไต ม้าม สมอง และเครื่องในอื่น ๆ มีพิวรีนในปริมาณสูงมาก เมื่อร่างกายสลายพิวรีน จะเปลี่ยนเป็นกรดยูริก ทำให้ระดับยูริกในเลือดพุ่งขึ้นเร็ว คนที่เป็นเกาต์อยู่แล้วจะมีอาการปวดข้อ บวม และอักเสบหนักขึ้น
2. อาหารทะเล : ปลาแซลมอน ปลาหมึก กุ้ง หอย และสัตว์น้ำอื่น ๆ โดยเฉพาะที่มีเปลือกหรือเนื้อเข้มข้น มักมีพิวรีนสูง กินบ่อยหรือมากเกินไปเสี่ยงทำให้ยูริกสูงจนเกิดอาการเกาต์เฉียบพลัน โดยเฉพาะในผู้ชายวัยกลางคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย
3. แอลกอฮอล์ : เบียร์และเหล้าเป็นตัวกระตุ้นหลัก เพราะมีทั้งพิวรีนและแอลกอฮอล์ที่ไปยับยั้งการขับกรดยูริกออกทางไต ส่งผลให้ยูริกสะสมในเลือดจนเกิดการตกผลึกในข้อ อาการเกาต์จึงรุนแรงขึ้น ปวดทรมานยาวนาน
4. น้ำซุปกระดูก / ซุปเนื้อ : แม้จะดูเป็นอาหารบำรุง แต่จริง ๆ น้ำต้มกระดูกและซุปเนื้อมีทั้งพิวรีนและไขมันอิ่มตัวสูง กินมากเกินไปไม่ได้ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงเกาต์ น้ำหนักเกิน และไขมันในเลือดสูง
5. เนื้อแดง : เนื้อวัว หมู แกะ มีโปรตีนสูง แต่ก็เต็มไปด้วยพิวรีน ยิ่งกินในปริมาณมากก็ยิ่งเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด ควรจำกัดไม่เกิน 75 กรัมต่อวัน และหลีกเลี่ยงเนื้อดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เพราะย่อยยากและกระตุ้นอาการเกาต์ได้ง่าย
6. อาหารทอด ปิ้งย่าง : เมนูทอดหรือย่าง เช่น ไก่ทอด หมูปิ้ง หมูกระทะ มีไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวสูง นอกจากจะทำให้ระดับไขมันในเลือดสูงแล้ว ยังไปรบกวนการขับกรดยูริกออกทางไต ส่งผลให้ยูริกคั่ง และทำให้เกาต์กำเริบได้บ่อยขึ้น
รู้จักโรคเกาต์
หมายถึง โรคข้ออักเสบจำเพาะที่เกิดเนื่องจากมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ ทำให้มีการตกผลึกยูเรต (Monosodium Urate, MSU) ในข้อ ก่อให้เกิดอาการข้ออักเสบขึ้น หากมีการตกตะกอนในเนื้อเยื่อต่างๆ และใต้ผิวหนัง จะเกิดเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำตามตำแหน่งต่างๆ เรียกว่า โทฟัส (tophus)
ปัจจัยการเกิดโรค
เป็นโรคข้ออักเสบที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงเป็นสัดส่วน 9:1 โดยในเพศชายมักพบช่วงอายุระหว่าง 30-50 ปี เพศหญิงพบได้มากขึ้นในช่วงอายุมากกว่า 50 ปี หรือวัยหลังหมดประจำเดือน
ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง หมายถึง ภาวะที่มีกรดยูริกสูงผิดปกติมากกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐาน โดยค่าสูงสุดที่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติในเพศชายคือ 7.0 มก./ดล. และเพศหญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนคือ 6.0 มก./ดล. หรือมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่า 6.8 มก./ดล. เมื่ออิงตามคุณสมบัติทางเคมี
อาการของโรคเกาต์
1.ระยะข้ออักเสบเฉียบพลัน
ลักษณะเด่นของโรคในระยะนี้ คือ การเกิดข้ออักเสบเฉียบพลันที่บริเวณข้อในส่วนล่างของร่างกาย โดยครั้งแรกมักเกิดที่บริเวณหัวแม่เท้าข้างใดข้างหนึ่งหรือที่ตำแหน่งข้อเท้า
2.ระยะที่ไม่มีอาการข้ออักเสบและระยะเป็นซ้ำ
ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการปกติทุกอย่าง มักมีประวัติข้ออักเสบระยะเฉียบพลันมาก่อน ระยะเวลาตั้งแต่การมีข้ออักเสบครั้งแรกถึงระยะต่อไปอาจกินเวลาแตกต่างกันในแต่ละราย
หากไม่ได้รับการรักษาอาจมีโอกาสเกิดข้ออักเสบซ้ำภายใน 1 – 2 ปี เมื่อเป็นซ้ำบ่อยๆ จำนวนข้ออักเสบจะเพิ่มมากขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ระยะเวลาในแต่ละครั้งที่มีข้ออักเสบยาวนานขึ้น อาจมีอาการทางกายอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาการไข้
3.ระยะข้ออักเสบเรื้อรังจากโรคเกาต์
ลักษณะจำเพาะ คือ พบข้ออักเสบหลายข้อแบบเรื้อรังร่วมกับการตรวจพบก้อนที่เกิดจากการสะสมของผลึกยูเรตตามเนื้อเยื่อต่างๆ หรือเรียกว่า โทฟัส (tophus) บางครั้งอาจแตกออกมาเห็นเป็นสารสีขาวคล้ายชอล์ก ตำแหน่งที่พบโทฟัสได้บ่อยนอกจากบริเวณนิ้วหัวแม่เท้าและข้อเท้า คือ ปุ่มปลายศอก เอ็นร้อยหวาย ปลายนิ้ว และอาจพบที่ใบหูร่วมด้วย ในระยะนี้จะพบข้ออักเสบหลายข้อ และอาจมีไข้จากการอักเสบได้ balancecounseling